การเรียนรู้ในโรงเรียนและโลกที่ยิ่งใหญ่

สำหรับบรรดาพวกคุณที่เป็นผู้อ่านทั่วไป คุณรู้ว่าฉันต่อสู้กับการศึกษาแบบดั้งเดิมและวิธีการการเรียนรู้ที่จำกัด ฉันเลี้ยงดูเด็กสองคนที่มีความสนใจในคอมพิวเตอร์การเล่นเกมศิลปะดิจิทัลภาษาโบราณศิลปะโบราณและเทพนิยายหัวข้อที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรของโรงเรียนส่วนใหญ่ การเรียนรู้ของพวกเขาเกิดขึ้นนอกเหนือจากการเรียนรู้แบบดั้งเดิม ฉันรู้ว่าโรงเรียนไม่สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับทุกคน แต่บางครั้งการยึดมั่นของมาตรฐานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งทุกคนจะต้องออกจากห้องเรียนเล็กๆ สำหรับศิลปะสร้างสรรค์การพัฒนาความรู้ลึกลงไปในสาขาเฉพาะหรือการสำรวจนอกพื้นที่ มีเวลามากในวันที่โรงเรียนมีเงินในงบประมาณห้องพักและครูเพื่อตอบสนองความต้องการมาตรฐานและการสำเร็จการศึกษาหลัก แม้ว่าด้วยการกำเนิดของความรู้ดิจิทัลและมาตรฐานวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในรัฐแมสซาชูเซตและมาตรฐาน ISTE ใหม่สำหรับนักเรียนมีความหวังว่าในอนาคตจะมีวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มากขึ้นเข้าสู่หลักสูตรในทุกโรงเรียน

การเรียนรู้ในโรงเรียนและโลกที่ยิ่งใหญ่

หนึ่งในวิธีที่ฉันสามารถเสริมการศึกษาของลูกๆ พวกเขาสามารถเรียนรู้ทักษะที่พวกเขาต้องการ ซื้อหนังสือจำนวนมาก เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ เข้าร่วมการประชุมและการฝึกอบรมที่กระตุ้นความสนใจของพวกเขา โต๊ะห้องอาหารของฉันมักจะเป็นที่ตั้งของเกมทุกคืน สิ่งที่ฉันจะไม่มอบให้กับร้านเกมท้องถิ่น การเรียนรู้เป็น กระบวนการคงที่ ไม่ได้กำหนดเวลาและสถานที่การเรียนรู้ไม่สม่ำเสมอไป มีโลกที่ยิ่งใหญ่อยู่ข้างนอกพร้อมด้วยสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมาย จะต้องมีวิธีที่ดีกว่าในการเชื่อมโยงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนกับการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนอกโรงเรียนและวิธีการรับรู้การเรียนรู้นอกโรงเรียนมีคุณค่าและมีความสำคัญ ลูกๆของฉันมักถูกกีดกันจากครูเพราะสนใจเรื่องภายนอกมากกว่าใช้เวลาทำการบ้านและเรียนหนังสือ หากพวกเขาทำสิ่งนี้พวกเขาจะไม่ได้รับทักษะที่จำเป็นในการสมัครเข้าเรียนในวิทยาลัยที่พวกเขาสนใจและไล่ตามความฝัน โรงเรียนที่ไม่มีวิทยาการคอมพิวเตอร์โปรแกรมศิลปะดิจิทัลและสื่อกำลังก่อความเสียหายแก่นักเรียนเนื่องจากพวกเขาไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับวิทยาลัยและอาชีพในสาขาเหล่านี้นี่เป็นตลาดงานที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา โรงเรียนที่มีพื้นที่ จำกัด เวลาและเงินสามารถช่วยเหลือนักเรียนที่ต้องการเรียนในสาขาเหล่านี้ได้อย่างไร? นักเรียนจะนำความสนใจมาที่โรงเรียนเพื่อเชื่อมสิ่งที่ต้องเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการเรียนรู้ได้อย่างไร?

การเรียนแบบชั้นเรียน มีโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยที่เราเห็นกันทุกวันนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการศึกษาเท่านั้น ส่วนการศึกษาที่เหลือคือการศึกษาตลอดชีวิต ที่เป็นการศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษาตามธรรมชาติ หรือการศึกษาจากชีวิตจริง ที่เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่วนมากก็จะมาจากการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อย่างที่เรามักจะเรียกกันในปัจจุบันว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เราอาจจะใช้เวลาการเรียนในห้องเรียนกัน 12-16 ปี ซึ่งเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และเป็นการเรียนในสถานการณ์ที่จำลองขึ้นมาเสียเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะการเรียนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือ ไม่ค่อยเห็นการใช้ชีวิตเท่าไร แต่เมื่อมาใช้ชีวิตจริงนั่นแหละ จึงเป็นการเรียนที่แท้จริง เรียนเพื่อชีวิต เรียนเพื่ออยู่ในสังคม จะเห็นว่า จากการเรียนในสถานการณ์จำลองในชั้นเรียนนั้น ต่างกับการเรียนในชีวิตจริงอย่างมาก การเรียนในชีวิตจริง ไม่มีห้องเรียน ไม่มีครู ไม่มีนักเรียน มีแต่เพื่อร่วมสังคม แต่ละคนมีบทบาททั้งครู และนักเรียน เป็นทั้งผู้รู้ และไม่รู้ การแลกเปลี่ยนรับในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ และให้ในสิ่งที่ตนเองรู้ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก จึงเรียกว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เราจึงต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน (Learn together) และทุกคนในสังคมต่างก็เป็น เพื่อนเรียนรู้ (Learning Buddy) เป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติ ของแต่ละบุคคล การใช้ วิธีการจัดการความรู้ผ่านทาง Internet หรือเราเข้าไปใช้ Gotoknow นี้ ก็ถือว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดการความรู้ เป็นการศึกษาตามอัธยาศัยของผู้ที่มีอัธาศัยในการใช้ ICT ถ้าเราสามารถทำให้ ICT เข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของคนทั้งหมดได้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านทาง ICT ก็จะเป็นช่องทางที่สำคัญอย่างมากช่องทางหนึ่ง ดังนั้น ที่กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยี ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดของกระบวนการจัดการความรู้ เป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างมาก แต่ถ้าสามารถนำเอามาใช้ได้ ก็จะทำให้การจัดการความรู้ มีพลังอย่างมาก